เลยจะลองเอาตัวอย่างการรักษาหลุมสิว ที่เรียกว่า dermabrasion ทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่่งผมรวบรวมข้อมูลส่วนหนึ่งมาให้ดูกัน
ข้อดี ของมันคือมันดีจริง ชนิดว่าทำครั้งเดียวเห็นผลเลย(สำหรัับหลุมตื้นแบบกระจายๆกันอยู่) เสียเงินครั้งเดียวจบ ซึ่งถ้าเทียบกับเลเซอร์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนและต้องทำหลายครั้งกว่าจึงจะเห็นผล บ้างก็ว่าไม่ไม่ได้ผลเลย TT
ข้อเสีย dermabrasion นี้ การทำ หมอที่ทำต้องมีความชำนาญสูง เพราะถ้ากรอน้อยเกินไปก็ไม่ได้ผล ส่วนถ้ามากเกินไปก็จะกินลึกอาจเกิดแผลเป็นใหม่ได้ ในคนเอเชียอย่างเรามีสีผิวคล้ำ การทำ dermabrasion ก็อาจเกิดรอยด่าง (hypopigmentation) หรือรอยดำ (hyperpigmentation) บริเวณนั้นได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับคนผิวขาว
การทำและชนิดของหัวกรอ
การทำรักษา
- หลังจากที่กรอหน้าเสร็จ จะปิดแผลไว้ 7 วัน
- เมื่อเปิดแผลแล้ว ผิวจะเป็นสีชมพู ระหว่างนี้ต้องต้องทาครีมกันแดด และหลบแดดอย่างน้อย 6 เดือน
- หากไม่หลบแดดได้ ก็จะเกิดความเสี่ยงมากที่สีผิวจะคล่ำกว่าสีผิวปกติ
- ผลการรักษาที่สีผิวจะปรับให้ใกล้เคียงสีผิวเดิมมากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น
ปกติเจอในเน็ตคนที่ทำส่วนใหญ่จะผิวขาว ทีนี้ลองดูคนสีผิว
a) ก่อนทำ คนทำแอฟริกันอเมริกัน
b) หลังทำทันที่
c) หลังทำ 4 สัปดาห์
d) ก่อนทำ คนทำคอเคเซียน
e) หลังทำ 12 สัปดาห์
![]() |
3 |
![]() |
1 |
![]() |
2 |
![]() |
4 |
![]() |
6 |
![]() |
5 |
ความเสี่่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น หลังทำใหม่ๆจะเกิดเห็นความต่างสีผิวชัดเจนในระหว่างนี่้ผิวก็จะปรับสีผิวไปเรื่อยๆจนใกล้เคียงสีผิวเดิมมากที่สุดอาจจะใช้เวลานานตามที่กล่าวไว้


การตัดสินใจ
Dermabrasion จะเหมาะกับหลุมสิวที่ตื้นๆแบบกระจายๆ ถ้าลึกมากหลังการทำก็ไม่ได้ดีเห็นผลเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ก็ขึ้นอยู่ว่าหลุมสิวที่เป็นนั้น มันลึกขนาดไหนเหมาะสมกับการทำหรือไม่ หากมันเป็นไม่มาก พอรับได้ รักษาด้วยเลเซอร์ ก็เป็นวิธีที่ปลอดภัย และก็ไม่เสี่ยง แต่หากเป็นเยอะจริงๆ ถึงขั้นแย่ที่สุด (อย่างในรูป a) ผมว่าการทำ dermabrasion ก็น่าที่จะทำครับ